วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

คิดถึงอดีต คิดถึงคลองบางหลวง


คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง
คิดถึงอดีต คิดถึงคลองบางหลวง (คู่หูเดินทาง)

          ในโลกยุคปัจจุบันความเร่งรีบ เร่งด่วน เร่งร้อน เร่งเร้า เร่ง...ถือเป็นวิถีชีวิตปกติของคนเมืองอย่างเรา ๆ ไปเสียแล้ว แล้วจะมีที่ไหนหนอในป่าคอนกรีตแห่งนี้ ที่จะพาเราย้อนเวลาหาอดีตกลับสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตสบาย ๆ ริมสายน้ำ สัมผัสสายลม เพื่อนร่วมทางฉบับนี้ขอพาคุณย้อยเวลาหาอดีตใช้ชีวิตแบบ Slow life ณ ริมคลองบางหลวง

          คลองบางหลวง หรือ คลองบางกอกใหญ่ เป็นคลองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมาสร้างราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี เหล่าข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่านมาจับจองสร้างบ้านกันอยู่ ริมคลอง บางกอกใหญ่ เพราะเป็นบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังกรุงธนบุรี ชาวบ้านจึงเรียกคลองแถบนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "คลองบางข้าหลวง" และเหลือเพียง "คลองบางหลวง" ในที่สุด ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนที่เรียกว่า "ชุมชนริมคลองบางหลวง" ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายในอดีต 
          

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

          ถ้าเดินมาจากวัดคูหาสวรรค์ตามแนวระเบียงริมน้ำของชาวบ้าน ซึ่งแต่ละหลังจะเชื่อมต่อกันเพื่อความสะดวกในการสัญจรและไปมาหาสู่กัน เราก็จะได้พบกับ ร้านดีเลิศ ชื่อไทย ๆ ซึ่งเปิดเป็นร้านขายกาแฟแต่ร้านแนว Retro ข้างของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของเก่าที่ทางเจ้าของร้านเก็บสะสมไว้ ติดกันคือ ร้าน River of Alphabets เป็นร้านขายหนังสือจำพวกวรรณกรรมและยังขายไอศกรีมโฮมเมด ที่ทางเจ้าของร้านทำเองอีกด้วย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

          เดินตรงมาตามทางเรื่อย ๆ เราก็จะได้พบกับบ้านเรือนของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอย่างปกติและเรียบง่าย ไม่ไกลจากสะพานมากเราก็จะได้พบกับ ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ขายของที่ระลึก สมุนไพร และของใช้จิปาถะมากมาย ถัดไปเป็น บ้าน ศ.จิตรกร รับวาดภาพเหมือนโดยใช้เวลาเพียง 15 นาทีเราก็จะได้รูปที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกแล้ว ใกล้ ๆ กันเป็น ร้านบ้านของเล่น มีของเล่นมากมายในสมัยอดีต เมื่อเห็นแล้วก็ทำให้เราได้ย้อนคิดถึงความสุขและสนุกในสมัยวัยเยาว์ 

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

          เดินมาจนสุดทางเราก็จะได้พบกับบ้านเก่าที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปีซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ "บ้านศิลปิน" เป็นบ้านเก่าของ "ตระกูลรักสำรวจ" ตระกูลช่างทองเก่าแก่ ซึ่งทายาทรุ่นสุดท้ายได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับคุณชุมพล  อักพันธานนท์ เพื่อปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานศิลป์ เป็นที่รวมตัวของของกลุ่มศิลปินที่รักงานศิลปะ บ้านศิลปินเป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอลที่สร้างล้อมรอบเจดีย์เก่าซึ่ง เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์แต่ละทิศที่กำหนดเขตพื้นที่เก่าของวัด กำแพง ด้านบนของตัวอาคารเปิดเป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะทั้งภาพวาดและภาพถ่ายให้ ได้ชมกัน

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

          ส่วนด้านล่างแบ่งเป็นพื้นที่ทำงานศิลปะต่าง ๆ การทำภาพพิมพ์ การทำเครื่องประดับเป็นต้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ทำเครื่องประดับเป็นของเก่าที่อยู่กับอาคาร หลังนี้ตั้งแต่สมัยก่อนและทุกวันนี้ยังสามารถใช้ได้จริง และในทุก ๆ วันอาทิตย์ที่นี่จะมีการฝึกอบรมสอนการทำเครื่องประดับให้กับผู้ที่สนใจโดย ไม่เสียค่าอบรม อีกส่วนที่เหลือของพื้นที่ด้านล่างแบ่งเป็นมุมขายของที่ระลึกและโปสการ์ด มีมุมร้านกาแฟให้ได้สั่งเครื่องดื่มมานั่งจิบพร้อมชมวิวทิวทัศน์ริมคลอง นั่งรับลมที่พัดเอื่อย ๆ เย็นสบาย มองวิถีชีวิตของคนริมคลอง สามารถมาพักผ่อนเยี่ยมชมดูงานศิลปะได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น.

          มาเที่ยวชมวิถีชีวิต พร้อม ๆ กับชิมบรรยากาศริมคลองที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ นี่แหละความสุขเรียบง่ายที่อยู่ใกล้ ๆ เราเพียงนิดเดียว

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง

Tips การเดินทาง

          • เข้าทาง ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 3 จากปากซอยมีบริการรถสองแถวและรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เข้ามาจนสุดซอย

          • เข้าทาง ถนนเพชรเกษม ซอย 20 จอดรถที่วัดกำแพง

          • เข้าทาง ถนนเพชรเกษม ซอย 28 จอดรถที่วัดคูหาสวรรค์

          • มาทางเรือขึ้นเรือรับจ้างเหมาลำมาที่ปากคลองตลาด ลำละ 700 บาท


10 ของฝากจากเกาหลี ที่พลาดไม่ได้!


ท่องเที่ยว เกาหลี


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ไปเกาหลีซื้ออะไรดี? คำถามเด็ดประจำทริป ที่เกือบทุกคนที่เตรียมตัวไปเยือนเกาหลีจะต้องถาม แน่นอนว่าในคำถามนั้นคงรวมถึงของที่จะซื้อให้ตัวเองและของฝากให้คนที่อยู่ทางนี้ด้วย แล้วอะไรดีล่ะที่คู่ควรแก่การหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมา วันนี้กระปุกดอทคอมจึงรวบรวม 10 ของฝากจากเกาหลี มาแนะนำให้คุณหายสงสัยกันจ้า


1. เครื่องสำอาง

            แน่นอนว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิงที่ไปเกาหลี มักจะเผื่อที่ว่างในกระเป๋าสำหรับหอบเอาเครื่องสำอางจำนวนมากกลับมาด้วย เพราะเครื่องสำอางเกาหลีช่างตอบโจทย์ความต้องการของสาวไทยได้ตรงเป๊ะ เนื่องจากสาวเกาหลีเขามักจะแต่งหน้ากันขาวใสเด้งแบบดูไม่โบ๊ะ แถมยังมีครีมบำรุงสารพัดชนิดที่เหมาะกับผิวแบบสาวเอเชีย แพ็คเกจก็น่ารัก และมีให้เลือกหลากหลาย ในราคาย่อมเยามาก ๆ อีกด้วย แล้วใครจะอดใจไหวล่ะ (จริงไหม) เครื่องสำอางจึงเป็นของฝากอันดับแรกที่มักจะถูกฝากซื้อและหอบหิ้วกลับมาฝากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ให้สวยเริ่ดกันถ้วนหน้ายังไงล่ะจ๊ะ

2. เสื้อผ้า

            แฟชั่นเกาหลีกำลังฟีเวอร์ในบ้านเรามาก ๆ เสื้อผ้าเกาหลีจึงเป็นของฝากที่หาซื้อได้ง่ายและไม่ซ้ำใคร ตลาดใหญ่ ๆ ที่มีเสื้อผ้าแฟชั่นขายก็คงจะหนีไม่พ้น ทงแดมุน ย่านขายส่งเสื้อผ้าที่ใหญ่อลังการคล้ายประตูน้ำบ้านเรา หรือจะเป็น เมียงดง ที่ให้อารมณ์สยามสแควร์ก็ได้นะ เสื้อผ้าที่เกาหลีมีให้เลือกหลากหลายลองเลือกดูให้เหมาะกับคนที่จะซื้อไปฝาก รับรองว่าสวย เก๋ และไม่ค่อยซ้ำใครที่เมืองไทยแน่นอนจ้า

3. กระเป๋า รองเท้า

            มีเสื้อผ้าแล้ว จะขาดกระเป๋ากับรองเท้าก็คงไม่ได้ ดังนั้น จะหอบหิ้วเสื้อผ้ากลับเมืองไทยทั้งที ก็อย่าลืมแวะซื้อกระเป๋ากับรองเท้าติดไม้ติดมือกลับมาบ้างนะจ๊ะ เพราะความน่ารักของแฟชั่นเครื่องหนังที่นี่ไม่ยอมน้อยหน้าใครเลยล่ะ รองเท้าแต่ละคู่เด็ดดวงทั้งนั้น กระเป๋าก็สวยแปลกตา ราคาจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ลองเลือกดูที่คุณโอเคกับมันก็แล้วกันเนอะ 

4. กิมจิ

            ไปเกาหลีไม่ซื้อกิมจิก็คงเหมือนไปไม่ถึง เพราะซื้อจากที่นี่ก็คงพออุ่นใจได้ว่า เป็นกิมจิต้นฉบับแบบออริจินอล ที่ชาวเกาหลีเขารับประทานกัน ติดกระเป๋ากลับมาเมืองไทยฝากคนที่ไม่ได้ไปด้วย ให้รู้สึกอินเหมือนได้ไปด้วยกันซะเลย อิอิ หรือจะแบ่งไว้กินเองให้ได้หวนนึกถึงบรรยากาศอาหารที่เกาหลีก็แจ่มนะ

5. เครื่องเขียน

            ต้นตำรับความน่ารักที่ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้เครื่องเขียนที่เกาหลี โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซื้อกลับมาฝากคนทางนี้บ้างก็กุ๊กกิ๊กดีนะ โดยเฉพาะอุปกรณ์ Scrapbook หรือ สมุดภาพแฮนด์เมด ที่ฮิตกันอยู่ทั่วโลก คนเกาหลีเขาก็ผลิตอุปกรณ์ออกมาได้น่ารักมาก ๆ เลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ตัวปั๊มสารพัดแบบ สก็อตเทปลวดลายต่าง ๆ หรือแม้แต่กระดาษ ปากกา ก็ดูน่ารักสมกับเป็นเกาหลีจริง ๆ เหมาะกับการซื้อมาฝากคนน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ให้หัวใจได้พองโต

6. สาหร่ายอบกรอบ

            อีกหนึ่งของอร่อยในเกาหลีที่ขึ้นชื่อว่าควรซื้อกลับมาด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่เกาหลีมีสาหร่ายปรุงรสยี่ห้อต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย รสชาติก็เด็ดโดนใจคนรักขนมขบเคี้ยว ใครชอบแบบไหนลองเลือกกลับมาฝากคนที่นี่สักห่อสองห่อ รับรองว่าต้องมีติดใจจนอยากให้คุณกลับไปเหมามาอีกเลยล่ะ

7. โสม

            ถ้าเป็นเรื่องโสมคงต้องยกให้ประเทศเกาหลี เพราะเขาเป็นประเทศที่ปลูกสมุนไพรชนิดนี้อย่างจริงจัง แถมยังบรรยายสรรพคุณเอาไว้เยอะแยะมากมาย จนหลายคนอดใจไม่ไหว อยากลองซื้อมารับประทานดูสักหน่อย เพราะเขาว่ากันว่าโสมเกาหลีช่วยบำรุงร่างกาย ให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า อายุยืนยาว แถมยังช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศอีกด้วยล่ะ แหม! ถ้าซื้อมาฝากคนที่ต้องการบำรุงกำลัง เขาก็คงจะปลาบปลื้มน่าดู

8. โซจู

            ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไหน ๆ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน (คือเมานั่นเอง) แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศเกาหลีอย่าง โซจู ก็จัดเป็นเครื่องดื่มประจำชาติ ที่ชาวเกาหลีนิยมดื่มแก้หนาวกันอย่างแพร่หลาย โซจู จึงกลายเป็นอีกหนึ่งของฝากที่เหมาะกับการหอบหิ้วมาให้คนทางนี้ได้ลองลิ้มชิมรสดูบ้างเหมือนกัน แต่อย่าหอบมาเยอะแยะจนดูเหมือนค้าน้ำเมาซะเองล่ะ อย่าลืมว่าให้เหล้าเท่ากับแช่งนะจ๊ะ อ่านข้อนี้แล้วเด็ก ๆ อย่าลืมใช้วิจารณญาณด้วยนะ

9. สตรอเบอร์รี่ลูกยักษ์ 

            เพราะเป็นเมืองที่มีอากาศหนาวถึงขั้นติดลบ แน่นอนว่าผลไม้เมืองหนาวอย่างสตรอเบอร์รี่จะต้องมีให้เห็นที่เกาหลีแน่ ๆ แต่ที่พิเศษกว่านั้นก็คือ สตรอเบอร์รี่เกาหลีจะมีขนาดใหญ่โตพอสมควร มีความกรอบมากกว่าสตรอเบอร์รี่ทั่วไป แถมยังมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ แต่การจะซื้อของฝากเป็นเจ้าสตรอเบอร์รี่นั้น คงจะเหมาะกับคนที่เดินทางไปเกาหลีในช่วงหน้าหนาวเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะเขามีมากในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น


10. ของที่ระลึกพื้นเมือง

            ไปต่างบ้านต่างเมืองทั้งที การเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ของที่ระลึกพื้นเมืองที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมเกาหลี ก็นับเป็นอีกหนึ่งของฝากที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะซื้อหาติดไม้ติดมือกลับไปเช่นกัน พวงกุญแจ ชุดน้ำชา ตุ๊กตาเกาหลี ล้วนเป็นสิ่งของที่บอกถึงวัฒนธรรมเกาหลีได้ในตัว หากใครงบมากหน่อยจะซื้อชุดฮันบกกลับไปฝากเพื่อนฝูงและญาติ ๆ ก็ได้ ไม่ผิดกติกานะจ๊ะ


            ได้ไอเดียของฝากจากเกาหลีกันแล้ว ก็อย่าลืมจดรายการเอาไว้แล้วแพ็คกระเป๋าเตรียมเที่ยวกันให้สนุก ขอให้เดินทางปลอดภัย และอย่าลืมรอบคอบก่อนออกเดินทางทุกครั้งด้วยนะคะ

การเตรียมตัวแบกเป้ท่องเที่ยว



การเตรียมตัวแบกเป้ท่องเที่ยว


การเตรียมตัวแบกเป้ท่องเที่ยว (อสท)


            สำหรับการเตรียมตัวแบกเป้เดินทางนั้น คงต้องบอกว่าควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ทำการบ้านให้เยอะ และละเอียดถี่ถ้วน ทั้งที่พัก รูปแบบการเดินทาง แหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลควรต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ที่สำคัญควรเลือกช่วงเวลาให้เหมาะสม
            การจัดเป้เดินทาง ขอย้ำว่าไม่ควรนำของไปมากมายนัก ให้เตรียมเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ หลายคนอาจจะบอกว่าก็สำคัญทั้งนั้น จึงขอแนะนำว่าแบบคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นภาพกว้าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ควรมีทั้งขาสั้น ขายาว เสื้อแขนยาว แขนสั้น หรือชุดสำหรับเล่นน้ำหากไปทะเล หมวก หากขึ้นเขาที่มีอากาศหนาว ต้องเตรียมชุดนอนที่มิดชิด เสื้อกันหนาวแบบอุ่นและเบา ที่พลาดไม่ได้ คือ ยาประจำตัว แว่นกันแดด ครีมกันแดด ยาทากันแมลง เป็นต้น เอาไปให้น้อยชิ้นที่สุด ทว่าใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด อาจต้องซักบ้างถ้าไปหลายวัน หากแค่อาทิตย์เดียวก็จัดให้ครบจำนวนวันเลย

            นอกจากนี้ ควรมีกระเป๋าหรือเป้ใบเล็ก สำหรับแบ่งของใช้ส่วนตัวในการท่องเที่ยว รวมทั้งขนม น้ำดื่ม เพื่อความสะดวกด้วย ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ พวกเครื่องประดับ ขอให้เอาไปน้อยที่สุด อาจมีกระเป๋าคาดเอวเล็ก ๆ สำหรับใส่เงินหรือบัตรสำคัญ ๆ ต่างหาก ส่วนคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพก็ควรจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสม ทั้งที่ชาร์จแบตเตอรี การ์ดประเภทต่าง ๆ และไม่ควรวางกระเป๋ากล้องทิ้งไว้เด็ดขาด ต้องติดตัวไว้ตลอดเวลา

การเตรียมตัวแบกเป้ท่องเที่ยว


ข้อควรระวัง 

            การเดินทางแบบแบกเป้อาจทำให้เราขาดความสะดวกสบายไปบ้าง ดังนั้น ของใช้หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องไม่มากชิ้นจนเกินไป เพื่อการดูแลให้ทั่วถึง ไม่ควรไว้ใจใครง่าย ๆ ไม่ดื่มหรือกินของจากคนแปลกหน้า

            หากต้องการออกไปเที่ยวในเวลากลางคืน ต้องระวังเป็นพิเศษ มีคู่มือท่องเที่ยวหรือแผนที่ไว้เสมอ และคำนวณระยะทางจากที่พัก หรือระยะเวลาการเดินทางไปยังแต่ละสถานที่ให้ดี ๆ

ตามไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก น่ารักน่าชัง

พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก



พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

ตามไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูกใหม่ล่าสุด (Lisa)

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก และ Lisa 

          ถึงกระแสคนรักนกฮูกจะไม่มากเท่ากับคนรักน้องหมาน้องแมว แต่คุณค่าของสัตว์กลางคืนชนิดนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร หนำซ้ำยังเป็นสัตว์ที่ผูกพันกับคนไทยมานานแม้ในตำราเรียน ก.ไก่-ฮ.นกฮูก นั่นทำให้ อาจารย์ปรีชา ปั้นกล้ำ แห่งคณะมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก" (Owl Art Museum) ขึ้นมา หลังจากเก็บรวบรวมศิลปะต่างสาขาที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์จากนกฮูกเอาไว้มากกว่าหนึ่งพันชิ้น

          เมื่อนำมาจัดแสดงอย่างเป็นหมวดหมู่ แต่ละชิ้นงานมีเอกลักษณ์ด้วยสีสันและรายละเอียดในฝีมือ เมื่อเสริมด้วยเรื่องเล่าจากเจ้าหน้าที่นำชม ความเพลิดเพลินก็บังเกิด จุดประกายให้เราอยากกลับไปสะสมบ้าง หรือดูเสร็จแล้วใครอยากสร้างงานศิลปะสักชิ้นก็มีกิจกรรมให้เพนต์เสื้อ เพนต์กระเป๋า หรือทำกระปุกออมสินอย่างสนุกสนาน 
พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก

          นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูกยังมีห้องเรียนรู้ศิลปะการออกแบบทั้งเด็กและผู้ใหญ่ Owl Art Museum Shop ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกร้านเครื่องดื่ม และทุกวันเสาร์ยังเปิด "ตลาดตาโต"ให้คนรักการแต่งบ้าน มาเลือกซื้อสินค้าดีไซน์เก๋ ๆ แนว ๆ อีกด้วย ซึ่งของทุกอย่างที่นำมาจำหน่ายเป็นของที่มีการออกแบบจากนกฮูกเท่านั้น

          ทั้งนี้ นกฮูก (Owl) เป็นสัตว์ที่มีสายพันธ์เชื่อมโยงกับมนุษย์มาอย่างยาวนานด้วยความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศพื้นถิ่น อาศัยความรู้ความเข้าใจในมิติที่แตกต่างกัน ด้วยคุณลักษณะพิเศษของนกชนิดนี้ คือ ดวงตาคู่โตที่สามารถมองทะลุผ่านความมืดในเวลากลางคืน จึงกลายมาเป็นสัญญาลักษณ์แห่งปัญญาของนักปราชญ์....
พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก  แผนที่

พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก แผนที่

          สำหรับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก ตั้งอยู่ที่ 10/3 หมู่ 1 ตำบลไทยาวาส อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยอยู่ห่างจากตลาดท่านา 400 เมตร เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00-18.00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-19.00 น. ค่าเข้าชม เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท เยี่ยมชมเป็นหมู่คณะและสอบถามโทรศัพท์ 0 3433 9721, 08 9254 7366 หรือ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 0 3475 2847-8



เที่ยว สนามมวย ในกรุงเทพมหานคร

  "มวยไทย" ถือเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่เป็นมรกดทางวัฒนธรรม และเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยมานานนับร้อยปี ซึ่งหากจะเอ่ยถึงสนามมวยเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนึกถึง สนามมวยราชดำเนิน และ สนามมวยลุมพินี เพราะฉะนั้น วันนี้เราเลยจะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวชม "มวยไทย" ศิลปะความงดงามของไทยที่ สนามมวยลุมพินี และ สนามมวยราชดำเนิน กันก่อนค่ะ 

          เริ่มกันที่ สนามมวยราชดำเนิน หรือ เวทีมวยราชดำเนิน (Rajadumnern Stadium) เวทีมวยระดับมาตรฐานหนึ่งในสองแห่งของประเทศไทย ตั้งอยู่ ณ ถนนราชดำเนินนอกเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร สนามมวยราชดำเนินก่อตั้งขึ้นโดยดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างขึ้น และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ. 2484 แต่มาเสร็จสิ้นหลังสงครามสงบแล้ว ในปี พ.ศ. 2488 และมีการแข่งขันนัดแรกในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2488 โดยมี นายปราโมทย์ พึงสุนทร เป็นผู้จัดการสนามมวย หรือ นายสนามมวย 

สนามมวยราชดำเนิน

          โดยในระยะแรก สนามมวยราชดำเนิน ยังไม่มีหลังคามุง ต่อมา นายเฉลิม เชี่ยวสกุล ผู้จัดการสนามมวย ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและความไม่สะดวก จึงเสนอให้สร้างหลังคาคลุมพื้นที่ทั้งหมด ต่อมาในปี พ.ศ. 2494 สนามมวยราชดำเนิน จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์เป็นสนามมวยได้มาตรฐาน

          สนามมวยราชดำเนิน นับเป็นเวทีมวยระดับมาตรฐานแห่งแรกของประเทศไทย ได้ถูกยอมรับว่ามีทำเลที่ตั้งและสถาปัตยกรรมสวยงามแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งปัจจุบัน สนามมวยราชดำเนิน ปรับปรุงสภาพใหม่และได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จึงได้ชื่อเรียกเล่น ๆ จากแฟนมวยว่า "วิกแอร์" อีกทั้งยังมีนักมวยทั้งนักมวยไทย นักมวยสากล จำนวนมากมายขึ้นชกที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น โผน กิ่งเพชร, ชาติชาย เชี่ยวน้อย, เวนิส บ.ข.ส., พเยาว์ พูนธรัตน์, เขาทราย แกแล็คซี่, รัตนพล ส.วรพิน, ชนะ ป.เปาอินทร์ เป็นต้น

          ทั้งนี้ สนามมวย ราชดำเนิน จัดให้มีการชกทุกวันจันทร์, พุธ และพฤหัสบดี เวลา 18.00-21.00 น. วันอาทิตย์ เวลา 17.00-21.00 น. เว้นวันสำคัญทางศาสนา
 
สนามมวยลุมพินี

          ขณะที่ สนามมวยลุมพินี หรือ เวทีมวยลุมพินี (Lumpini Stadium) สนามมวยระดับมาตรฐานของประเทศ เทียบเท่ากับ สนามมวยราชดำเนิน ตั้งอยู่ ณ ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ติดกับโรงเรียนเตรียมทหาร (เดิม) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2499 โดย พล.ต.ประภาส จารุเสถียร ขณะดำรงตำแน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ 

          โดย สนามมวยเวทีลุมพินี เปิดแข่งขันครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ตามหลักฐานที่เป็นทางการ มีพื้นที่ 1,501.75 ตารางวา หรือประมาณ 3 ไร่ 3 งานเศษ โดยเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันก็อยู่ในความดูแลของกองทัพบก 
สนามมวยลุมพินี

          สนามมวยลุมพินี นับได้ว่าเป็นสนามมวยที่มีประวัติยาวนานเช่นเดียวกับ สนามมวยราชดำเนิน มีการจัดการชกมวยทั้งมวยไทยและมวยสากล ผ่านการนัดสำคัญ ๆ มากมาย เช่น การชิงแชมป์โลกครั้งแรกของ โผน กิ่งเพชร กับ ปาสคาล เปเรซ เมื่อคืนวันเสาร์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503 เป็นต้น 

          ทั้งนี้ สนามมวยลุมพินี จัดให้มีมวยชกทุกวันอังคาร, ศุกร์ เวลา 18.00-22.00 น. และวันเสาร์ เวลา 17.00-24.30 น. เว้นวันสำคัญทางศาสนา

ไปกินไปเที่ยวในย่านเก่า...ตลาดนางเลิ้ง

 ทอดน่องท่องย่านเก่าแบบกินไปเที่ยวไปในตลาดบกแห่งแรกของไทยที่วันนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี 

          ในเมื่อดินฟ้าอากาศอาจไม่เป็นใจให้ไปเที่ยวไกล ๆ Lisa เลยจัดทริปชวนคุณไปเดินเล่นชิลล์ ๆ ในย่านวัฒนธรรมเก่าแก่ของกรุงเทพฯ นี่เอง ย่านเก่าที่ว่าก็คือ "ตลาดนางเลิ้ง" ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายมาถึงพ่อแม่ย่อมรู้จักกันดี แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อาจคุ้นชื่อแต่ยังไม่เคยไปละก็ ตามเราไปทัวร์นางเลิ้งกันเลยค่ะ


ทอดน่องท่องย่านเก่า

          ตลาดนางเลิ้ง หรือตลาดบกแห่งแรกของไทย เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีชื่อเดิมว่า "ย่านสนามกระบือ" ต่อมาเรียกย่าน "อีเลิ้ง" ด้วยบริเวณริมคลองผดุลกรุงเกษมบรรจบคลอดเปรมประชากร มีชาวมอญล่องเรือนำตุ่มอีเลิ้งมาวางขาย จนถึงยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงเปลี่ยนชื่อให้สุภาพขึ้นว่า "นางเลิ้ง"

          เสน่ห์แรกเมื่อเดินเล่นในย่านเก่านางเลิ้ง คืองานสถาปัตยกรรมคลาสสิกของตึกตลาดหรือตึกฝรั่ง ปัจจุบันทาสีชมพูหวานแหวว ด้านในแบ่งเป็นตรอกต่าง ๆ เดินถึงกันได้ และในย่านนี้ยังมีวังเจ้านายและบ้านขุนนางหลายแห่ง โดยเฉพาะบนถนนหลานหลวง อย่างเช่น วังวรดิศในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังจักรพันธ์ของเจ้านายในราชสกุลจักรพันธ์ หรือแถว ๆ คลองผดุงกรุงเกษมก็มีรอยอดีตวังนางเลิ้ง ในสมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ซึ่งภายในตลาดนางเลิ้งเองก็มีศาลของท่าน ที่ชาวบ้านให้ความเคารพสักการะอยู่ด้วย

ตลาดนางเลิ้ง

ย้อนรอยบันเทิงกับมิตร ชัยบัญชา

          นอกจากเป็นตลาดบกแห่งแรกแล้ว นางเลิ้งยังถือเป็นย่านบันเทิงเริงใจของคนยุคก่อน ไม่ว่าจะเป็นสนามม้านางเลิ้งหรือราชตฤณมัยสมาคม แต่ที่เหลือเพียงโครงสร้างให้เราจินตนาการถึงวันวาน คือ อาคารไม้อายุ 90 กว่าปี ในตรอกโรงไข่ เรียกว่า "ศาลาเฉลิมธานี" หรือ "โรงหนังนางเลิ้ง" คุณตาคุณยายใจดีในตลาดเล่าว่า สมัยนั้นจะฉายหนังวันละ 2 รอบ ค่าตั๋ว 3 บาท 5 บาท ในที่สุดก็เลิกฉายเมื่อความนิยมน้อยลง แถมยังคุยต่ออย่างภูมิใจว่าแถวนี้เป็นที่พักอาศัยของพระเอกหนังไทย มิตร ชัยบัญชา ไม่เชื่อก็เดินเลาะเรื่อยไปยังวัดแคนางเลิ้ง หรือ วัดสุนทรธรรมทาน จะเห็นที่เก็บอัฐิของพระเอกตลอดกาลท่านนี้ด้วย

ตลาดนางเลิ้ง

          และไม่เพียงแค่ภาพยนตร์ นางเลิ้งยังเป็นแหล่งรวมของละครชาตรีเชื้อสายใต้ที่อพยพมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ปัจจุบันอยู่รวมกันในตรอกละคร ซึ่งรวมถึงบ้านละคร "เรืองนนท์" ของครูทองใบ เรืองนนท์ ศิลปินแห่งชาติใกล้กันมี "บ้านเครื่อง" หรือบ้านรับทำเครื่องโขนละคร เช่น บ้านนราศิลป์ที่มีพี่จิ๊บเป็นผู้สืบทอดศิลปะการทำชุดโขนละครเอาไว้ด้วยใจรัก

          แฟชั่นฮิตอย่างหนึ่งของหนุ่มสาวยุคนางเลิ้งเฟื่องฟู คือไปถ่ายรูปและสั่งทำล็อกเกตหินที่ร้านนางเลิ้งอาร์ต เจ้าแรกของไทย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเปิดบริการอยู่ สามารถไปชมล็อกเกตหินที่เจ้าของไม่มารับ โดยอาม่าเจ้าของร้านบอกว่า บางทีก็มีคนรุ่นใหม่มาขอซื้อเพราะเป็นรูปคุณปู่ของเขาเอง

ตลาดนางเลิ้ง

พุงระเริงในตลาดนางเลิ้ง

          ความสุขใจที่ขาดไม่ได้เมื่อมาเนตลาดนางเลิ้งคือการได้กินของอร่อย ๆ ค่าที่คนเก่าย่านนี้อยู่ใกล้ชิดเจ้านายใน วังจึงมีการสืบทอดอาหารตำรับชาววังเอาไว้ มีทั้งอาหารคาว-หวานพร้อมพรั่งกระจายอยู่ตามตรอกต่าง ๆ การันตีความอร่อยที่ต่อเนื่องยาวนาน 20-30 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นขนมหม้อแกงหวานมันของยายหงส์ ไส้กรอก-ปลาแนม สาคูพอดีคำที่อร่อยเพลินทั้งไส้ปลา กุ้ง และหมูของร้านแม่สะอิ้ง กล้วยหักมุกเชื่อม น้องเดียร์ ขนมเบื้องโบราณของลุงน้อยเจ้าเก่า 

          ตามด้วยบะหมี่รุ่งเรืองซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่เส้นบะหมี่ทำเองกับน้ำซุปกลมกล่อม เป็ดพะโล้ของส.รุ่งโรจน์ และร้านตี๋เป็ดที่อยู่ใกล้ ๆ กับร้านข้าวแกงเจ้าอร่อยร้านรัตนา เฮ้อ...แค่หน้ากระดาษนี้ก็คงสาธยายไม่หมด เอาเป็นว่าหลังจากเดินเล่นกินโน่นนี่นั่นไปแล้ว เรามานั่งเหยียดขาพักพุงด้วยขนมหวานกับโอเลี้ยงเย็น ๆ ที่ร้านกาแฟโบราณ 50 ปีแม่วารี นั่งดูคุณตา 3-4 คน โขกหมากรุกโป๊ก ๆ ฟังเรื่องเล่านางเลิ้งในอดีต ก็ให้รู้สึกถึงความสุขเมื่อวันวานซะจริง ๆ

          เอ๊ะ...รึเราเป็นเหมือนแม่มณีจันทร์ในละคร "ทวิภพ" ล่ะกระมัง?!

ตลาดนางเลิ้ง

Fast Facts

           ตลาดนางเลิ้งจะเริ่มขายกันแต่เช้าจนถึงบ่าย ๆ ก็ซา แนะนำให้ไปวันธรรมดาจะมีของขายมากกว่าวันหยุด และเนื่องจากหาที่จอดรถยากหากใช้บริการรถสาธารณะจะดีกว่า นอกจากนี้ ตลาดนางเลิ้งยังสามารถเข้าได้หลายทางทั้งจากถนนราชดำเนิน หลานหลวงนครสวรรค์ รวมถึงมีสถานที่สำคัญอยู่ตามมุมต่าง ๆ ดังนั้น เส้นทางเดินชมย่านเก่าจึงแล้วแต่ความสะดวก

           สนใจเข้าชมการทำชุดโขนละครที่บ้านเครื่องนราศิลป์ โทรศัพท์ 08-6528-7070 หรือดูการแสดงละครชาตรีของบ้านเรืองนนท์ โทรศัพท์ 08-9452-6712

ชวนไปทำบุญ วัดบัวขวัญ พระอารามหลวงใกล้กรุงเทพฯ

เชื่อว่าในวันสิ้นปีที่ผ่านมานี้ หลายท่านคงได้ไปทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว คนที่เรารัก มามากมาย และกิจกรรมหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมทำกันทุกปี เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัวนั่นก็คือ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ที่บรรดาวัดต่าง ๆ ได้จัดขึ้นเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้มาร่วมกันทำกิจกรรมในครั้งนี้ และหนึ่งในวัดที่จัดงานและได้รับความนิยมสูงสุดวัดหนึ่งนั่นก็คือ วัดบัวขวัญ ตั้งอยู่ที่อำเภอบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพระอารามหลวงใกล้ ๆ กรุงเทพฯ นี่เอง 
 
         สำหรับ วัดบัวขวัญ ในปีนี้ ติดอันดับวัดที่มีคนไปสวดมนต์ข้ามปีกันมาก เนื่องจากในวันสิ้นปีที่ผ่านมากนั้น ทางวัดร่วมกับอาจารย์ลักษณ์ เลขานิเทศ เจ้าของฉายา โหรฟันธง จัดพิธีเจริญมนต์นพเคราะห์ เจริญชัยมงคลคาถา มนต์พระปริตร ทำบุญอุทิศแด่เทวดาประจำวันเกิด เทวดาประจำราศีทั้ง ๙ องค์ อันได้แก่ เทวดาพระอาทิตย์ เทวดาพระจันทร์ เทวดาพระอังคาร เทวดาพระพุธ เทวดาพระพฤหัสบดี เทวดาพระศุกร์ เทวดาพระเสาร์ เทวดาพระราหู และเทวดาพระเกตุ เพื่อเสริมบุญราศี สร้างบุญเป็นกำลังให้เทวดาคุ้มครองรักษาดวงชะตาตลอดปีมะโรง




แต่ที่สำคัญ คือ พุทธศาสนิกชนที่ไปร่วมงานทุกคนจะมีโอกาสได้ร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่ ปัดป้องภัยให้บ้านเมือง โดยพุทธศาสนิกชนร่วมไหว้พระพุทธเมตตาที่พระอุโบสถ จากนั้นก็บูชาดอกไม้ธูปเทียนไหว้เทพพระราหูทรงครุฑที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขียนแผ่นทองอธิษฐานสร้างจตุโลกบาลทั้ง ๔ ซึ่งงานในครั้งนี้ถือเป็นงานบุญใหญ่ รวมสร้างโบสถ์ ร่วมสร้างเทพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพบเจอเคราะห์ร้ายแสนสาหัส แทนที่จะไหว้พระทำบุญเหมือนปีก่อน ๆ นั้น เราก็จะมาร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่ เพื่อคุ้มครองดวงชะตาของประเทศ และเปลี่ยนแปลงดวงชะตาจากร้ายกลายดี
 
         และในวันที่ ๗ มีนาคมซึ่งตรงกับวันมาฆบูชานี้ ทางวัดก็จะได้จัดพิธีเททองหล่อ "ท้าววิรูปักโขนาคราช" หนึ่งในเทพจตุโลกบาลทั้ง ๔ ให้พุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญใหญ่ในวันพระใหญ่ด้วย 
 
         สำหรับ พุทธศาสนิกชนที่สนใจไปทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ ก็สามารถไปได้ง่าย ๆ เพราะวัดหาไม่ยากเลย โดยเข้าซอยที่อยู่ข้างพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เยื้อง ๆ กับเดอะมอลล์ งามวงศ์วานนี่เอง ไปร่วมกันทำบุญเสริมสิริมงคลให้ตนเองและครอบครัว และปัดป้องภัยจากอันตรายต่าง ๆ ให้ประเทศไทยของเราประสบพบเจอแต่เรื่องดี ๆ ตลอดไปนะคะ ^^